จากกรณีที่ช่วงนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีการเข้มงวดกวดขันเรื่องของส่วยรถบรรทุก และมีสื่อมวลชนหลายแขนงพยามยามเปิดโปงขบวนส่วยรูปแบบต่างๆ และมีสื่อบางแขนง (ช่อง one) ได้ระบุว่ามีการเรียกเก็บส่วยรถยนต์ตู้รับส่งผู้โดยสารหรือนักท่องเที่ยว ในพื้นที่ อ.แม่ลาว จ.เชียงราย โดยมีการเรียกรับส่วยเป็นรายเดือน เดือนละประมาณ 800-1,000 บาทเพื่อแลกกับไม่ต้องถูกตรวจค้นและดำเนินคดีทางกฎหมาย กรณีการบรรทุกจำนวนผู้โดยสารเกินหรือวิ่งรับส่งผู้โดยสารนอกเส้นทาง

ทางทีมข่าวจึงลงพื้นที่สำรวจข้อเท็จจริงที่สถานีตำรวจภูธรแม่ลาว(ส่วนแยก ) ถนนพหลโยธิน หมู่ 8 ตำบลบัวสลี อำเภอแม่ลาว จ.เชียงราย ซึ่งเป็นด่านตรวจเพียงแห่เดียวที่มีการตั้งจุดตรวจจุดสกัดสม่ำเสมอเป็นประจำเกือบทุกวัน ของ อ.แม่ลาว พบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงมีการตั้งด่านตามปกติ โดยมีการนำแผงกั้นและกรวยจราจร มาปิดกั้นเส้นทางให้รถวิ่งได้เพียงช่องทางเดียว เพื่อสะดวกแก่การตรวจค้น โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับรอง ผกก.สภ แม่ลาว มาคอยกำกับดูแลการตรวจค้น

ซึ่งจากการสังเกตุพบว่าได้มีรถยนต์ตู้ทั้งที่เป็นรถยนต์ตู้ส่วนบุคคล รถยนต์ตู้โดยสารประจำทาง รถยนต์ตู้ที่ได้รับอนุญาติจากกรมการขนส่ง(รถป้ายเหลือง) และรถยนต์ตู้รับจ้างหรือบริษัทนำเที่ยวทั่วไป มีการวิ่งผ่านเส้นทางดังกล่าวบ้าง แต่ไม่ถึงขั้นพลุกพล่าน และสังเกตุบริเวณตัวรถไม่พบสติ๊กเกอร์หรือสัญญาลักษณ์ ที่บ่องบอกถึงเป็นสัญญาลักาณ์ของส่วย มีเพียงใบอนุญาติขิงกรมการขนส่งที่อนุญาติให้วิ่งรับส่งผู้โดยสารเท่านั้น จากการสอบถามผู้ขับขี่รถยนต์ตู้หลายคันบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่เคยถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แม่ลาวเรียกรับส่วยแม้แต่รายเดียว

นายสุธี แก้วนาหลวง คนขับรถยนต์ตู้ป้ายเหลือง กล่าวว่าตนขับขี่รถส่งผู้โดยสารผ่านเส้นทาง อ.แม่ลาว เป็นประจำ ก็มักจะพบกับเจ้าหน้าที่ตั้งจุดตรวจบ่อยครั้ง แต่ส่วนใหญ่รถยนต์ตู้ป้ายเหลืองเป็นรถที่ได้รับอนุญาตให้รับส่งผู้โดยสารถูกกฎหมาย จึงไม่ค่อยถูกเรียกมากนัก แต่หากถูกเรียกก็เป็นการตรวจปกติไม่มีการเรียกรับเงินหรือส่วยแต่อย่างใด ส่วนมากจะโดนใบสั่งจากกล้องตรวจจับความเร็วเสียมากกว่า ซึ่งก็มีการจ่ายค่าปรับตามปกติ ซึ่งคนขับรถยนต์ตู้จะมีไลน์กลุ่มคนขับรถยนต์ตู้อยู่ มีสมาชิกกว่า 400 คน ก็ไม่มีใครแจ้งว่ามีการเรียกรับเงินจ่ายส่วยเป็นรายเดือนให้กับด่านตรวจไหนรวมถึงด่านตรวจแม่ลาวด้วย

นายสงกรานต์ โภชนา คนขับรถยนต์ตู้รับส่งผู้โดยสารทั่วไปกล่าวว่าตนขับรถผ่านเส้นทาง อ.แม่ลาว ประจำทุกสัปดาห์ละ 2 วัน ส่วนใหญ่จะรับส่งญาติจะมีผู้โดยสารคนอื่นบ้างเป้นบางครั้ง ซึ่งมักจะถูกเรียกตรวจเกือบทุกครั้ง แต่รถตนทำถูกกฎหมายทุกอย่าง เจ้าหน้าที่เรียกตรวจก็มารยาทดี เมื่อทุกอย่างไม่ผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่ก็ปล่อยให้เดินทางต่อ โดยไม่ได้พยายามจะเรียกรับเงินหรือเรียกรับส่วยรายเดือนแต่อย่างใด ซึ่งเพื่อนรถยนต์ตู้ก็เหมือนกันไม่เคยได้ยินว่ามีใครถูกเรียกรับส่วย หากผิดก็ว่ากันไปตามผิดจ่ายค่าปรับก็จบ

ขณะที่นายสุวัฒน์ เม่นแย้ม อายุ 59 ปี เจ้าของบริษัทรถยนต์ตู้รับส่งผู้โดยสารและรับจ้างนำเที่ยว ซึ่งประกอบธุรกิจมานานกว่า 20ปี ปัจจุบันมีรถยนต์ยนต์วิ่งระหว่างเชียงรายกับจังหวัดต่างๆทั่วประเทศถึง 5 วัน กล่าวว่าตั้งแต่ประกอบธุรกิจมายังไม่พบว่ามีด่านไหนตรวจเรียกรับเงินหรือเรียกส่วยจากบริษัทตน รวมถึงด่านตรวจ อ.แม่ลาวด้วย แต่ก็มีบ้างที่ถูกจับปรับในกรณีที่ทำผิดก็เสียค่าปรับตามโทษที่กระทำผิด แต่ก็ไม่ได้มีการจ่ายเงินทดแทนการเสียค่าปรับหรือส่วยรายเดือน และในวงการรถยนตู้ก็ไม่เคยมีใครพุดถึงเรื่องส่วยรถยนต์ตู้ ซึ่งในฐานะเป็นผู้ประกอบการรถยนต์ตู้ก็ไม่อยากให้มีการเรียกรับส่วยหรือไม่อยากให้เจ้าของรถจ่ายส่วย เพราะทำให้เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มและอาจมีผลกระทบต่อผู้โดยสาร ทางที่ดีควรจะปฎิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายจะดีกว่า

ด้านพ.ต.ท.ฉันทฤทธิ์ เหล่าไพโรจน์จารี รอง ผกก.ป. สภ.แม่ลาว กล่าวว่า อ.แม่ลาวมีจุดตรวจหลักอยู่ที่บริเวณหน้าสภานตำรวจแม่ลาว (ส่วนแยก) เป็นด่านตรวจที่ตั้งขึ้นเพื่อดวกขันวินัยจราจรของผู้ขับขี่ยานพาหนะชนิดต่างๆ ทั้งใบอนุญาติขับขี่ การต่อภาษีรถ หรือพรบ.คุ้มครองอุบัติภัยจากรถ บ่อยครั้งที่จะมีตำรวจทางหลวงและทางเจ้าหน้าที่ขนส่งมาตรวจร่วมในเรื่องการตรวจสภาพรถและการตรวจการบรรทุกน้ำหนักเกิน ซึ่งทางสถานีได้เน้นยำเรื่องการปฎิบัติหน้าที่ ไม่ให้มีการเรีนยกรับผลประโยชน์กับผู้ขับขี่โดยเด็ดขาด ซึ่งยืนว่าในพื้นที่ทาง สภ.แม่ลาว ไม่มีนโยบายหรือมีเจ้าหน้าที่รายใดเข้าไปเรียกรับส่วยแน่นอน เจ้าหน้าที่ปฎิบัติหน้าที่ตรวจรถทุกชนิดอย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งเส้นทาง อ.แม่ลาว เป้นเส้นทางผ่านไปยังพื้นที่ จ.เชียงใหม่ จ.พะเยาหรือจังหวัดอื่นๆ ซึ่งเจ้าหน้าที่มีการสุ่มตรวจเพื่อเป็นการกระตุ้นเตือนป้องกันให้คนขับดูแลผู้โดยสารซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวหรือผู้โดยสารทั่วไปคำนึงถึงความปลอดภัย หากพบการกระทำผิดก็ออกใบสั่งให้เสียค่าปรับตามกฎหมาย ไม่มีการเรียกรับเงินหรือให้เสียเงินรายเดือน เดือนละ 800-1,000 บาทตามที่สื่อมวลชนข่าวอย่างแน่นอน  ( เริ่ม นาที่ที่  46 )